เทคโนโลยี Blockchain (Blockchain Technology)

Prapawee Kamsaeng
3 min readDec 14, 2020

--

Part 1: อยากจะแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักกับ Blockchain คือ ระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งมีลักษณะเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ที่เก็บสถิติการทำธุรกรรมทางการเงิน และสินทรัพย์ชนิดอื่นๆ อีกในอนาคต โดยไม่มีตัวกลาง คือสถาบันการเงิน หรือสำนักชำระบัญชี ระบบ Blockchain จะไม่มีตัวกลางอย่างที่เคยเป็นมา ยกตัวอย่างการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin จะมีรหัส Token สร้างขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับ Blockchain และทำการตรวจสอบว่า Bitcoin นั้นๆ มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ก่อนที่จะทำธุรกรรมให้สำเร็จต่อไป

เท่ากับว่า Blockchain เป็นระบบโครงข่ายในการทำธุรกรรมต่างๆ ซึ่งตัดตัวกลางอย่างสถาบันการเงินที่มีอยู่ในโลกปัจจุบันออกไป ซึ่งทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมถูกลง และอาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินที่เป็นตัวกลาง รวมไปถึงสำนักชำระบัญชีต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมีอีกในอนาคตได้เลย หากเทคโนโลยีนี้เข้ามาแทนที่ได้อย่างสมบูรณ์

ขณะที่ Blockchain ไม่เพียงมีบทบาทอยู่แค่การทำธุรกรรมทางการเงินเท่านั้น หากแต่ยังอาจถูกนำไปใช้ในงานอื่นๆ เช่น การเก็บสถิติการเลือกตั้งให้มีความโปร่งใสมากขึ้น การให้ยืม Cloud Storage ระหว่างกัน, บริการ co-location, ระบบ Peer to Peer Lending และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแม้แต่เหล่าธนาคารเองก็ตัดสินใจเข้าลงทุนในการทำ Blockchain มากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด เหล่าสถาบันการเงินอย่างธนาคาร Citibank ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ รวมไปถึงบริษัท VISA ก็ได้เข้าลงทุนในบริษัทบล็อกเชนชั้นนำอย่าง Chain.com เพื่อแนวทางรักษาตลาดเทคโนโลยีนี้เช่นกัน

Part 2 : การทำงานของ Blockchain

จึงกล่าวได้ว่า; การทำงานของ Blockchain คือ เมื่อเกิดการทำธุรกรรมต่างๆ ขึ้นในระบบ ข้อมูลจะถูกบันทึกแบบเข้ารหัสไว้เป็นบล็อกๆ และจะถูกเชื่อมโยงต่อๆ กัน โดยที่จะไม่มีใครคนใดคนหนึ่งสามารถเข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกใดๆ ได้เลย สาเหตุก็เพราะทุกคนต่างก็มีสำเนาหรือประวัติการทำธุรกรรมทั้งหมดอยู่กับตัว จึงเป็นเรื่องที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้หากจะมีใครซักคนเข้ามาแก้ไขหรือปลอมแปลงข้อมูลโดยปราศจากการรับรู้จากคนส่วนใหญ่ในระบบ โดยระบบที่สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับได้ทั้งหมดนี้ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเทคโนโลยี Blockchain นั่นเอง

ขอยกตัวอย่างเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากยิ่งขึ้น ในอดีตการทำธุรกรรมทางการเงิน จะต้องอาศัยตัวกลางในการยืนยันความถูกต้องของข้อมูล นั้นก็คือ “ธนาคาร” ในการทำธุรกรรมออนไลน์ ธนาคารก็จะเป็นผู้รับผิดชอบเก็บข้อมูลลูกค้า และตรวจสอบการทำธุรกรรมต่างๆ (เป็นผู้ดูแลสัญญานั่นเอง) แต่ระบบ Blockchain คือ คู่ที่ทำธุรกรรมสามารถทำธุรกรรมกันเองได้โดยตรง ผ่านเทคโนโลยี Blockchain สัญญาที่แต่ก่อนธนาคารเป็นผู้ดูแลเพียงคนเดียว ก็จะเปลี่ยนเป็น สัญญาระหว่างคู่ค้าที่จะถูกถือไว้โดยทุกคนในระบบ เมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้น ทุกคนที่อยู่ในระบบก็จะรับรู้ทันทีว่ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ตนถืออยู่ เช่น นาย A จ่ายเงินให้นาย B โดยมีนาย C เป็นผู้ดูแลสัญญา แต่ถ้าเป็น Blockchain ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินนี้จะมีข้อมูลของนาย A และนาย B เมื่อนาย A จ่ายเงินให้นาย B ทุกคนก็จะรับรู้ได้ทั่วกัน

ปัจจุบัน Blockchain ถูกนำไปประยุกต์ใช้งานด้านต่างๆ มากมาย

วันนี้คนส่วนใหญ่ต่างก็ทราบดีว่าเทคโนโลยี Blockchain นั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมายมหาศาลกับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือแม้แต่องค์กรขนาดใหญ่ ล้วนแล้วแต่สามารถนำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้งานกับองค์กรได้ทั้งสิ้น แต่ประเด็นสำคัญคือองค์กรควรจะใช้ Blockchain ประเภทใดจึงจะเหมาะสม และมีแนวทางที่จะช่วยองค์กรในการตัดสินใจเลือกประเภทของ Blockchain ได้อย่างไร วันนี้ขอใช้บทความนี้ขยายความให้แก่ทุกท่านทราบกัน

ปัจจุบันมีการแบ่งเทคโนโลยี Blockchain ออกเป็น 3 ประเภท นั้นคือ Public, Private, Consortium ซึ่งแต่ละประเภทก็มีเหมาะสมกับการใช้งานแตกต่างกันไป เนื้อหาต่อจากนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักเทคโนโลยี Blockchain กันมากขึ้นค่ะ

Part 3 : Public Blockchain

Blockchain ประเภทนี้ เรามักรู้จักกันดีในชื่อ Bitcoin กับ Ethereum ซึ่งเป็น Blockchain ที่ใช้งานจริงกับคนทั่วโลก ข้อดีของ Public Blockchain ประเภทนี้คือ ทางองค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนตอนเริ่มต้นในราคาสูง เช่น การนำเอา Ethereum มาใช้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการรับและส่งข้อมูล ท่านสามารถใช้เพื่อเก็บข้อมูลและเรียกขึ้นมาดูได้แบบออนไลน์ โดยที่ท่านไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่อง Server มาติดตั้งระบบเอง ท่านเพียงแค่จ่ายค่าการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลตามการใช้งานจริงเท่านั้นคล้ายๆ จ่ายค่าบริการแบบค่ามือถือชนิดเติมเงิน ใช้เท่าไรก็จ่ายเท่านั้น

สำหรับข้อดีของ Public Blockchain ยังมีอีกมากมาย เช่น การส่งข้อมูลไปให้หน่วยงานผู้รับปลายทางเราก็ไม่ต้องมาสร้างช่องทางส่งข้อมูลกัน หรือที่นิยมทำ Web Service API เพื่อให้ App คุยกัน องค์กรผู้ส่งข้อมูลเพียงแค่ใส่ข้อมูลลงไปใน Blockchain และจ่าหน้าซองถึงองค์กรผู้รับเท่านั้นผู้รับก็ได้รับข้อมูลไปโดยทันที แต่ข้อเสียของ Public Blockchain ก็มีเช่นกัน ข้อมูลที่เราใส่เข้าไปใน Public Blockchain นั้นจะกลายเป็นว่าข้อมูลเหล่านั้นจะถูกเปิดเผยแก่ทุกคนแบบสาธารณะ แปลว่าไม่มีอะไรเป็นความลับ หากต้องการความเป็นส่วนตัว องค์กรก็ต้องหาวิธีการใน การเข้ารหัสข้อมูลก่อนที่จะส่ง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ทำให้เกิดความยุ่งยากในการใช้งานค่ะ

Part 4 : Private Blockchain

Blockchain ประเภทนี้เป็นการสร้างระบบ Blockchain เพื่อมาใช้กันภายในองค์กร หรือเป็นระบบปิด บล็อกเชนประเภทนี้จะมีการจำกัดการเข้าถึงข้อมูล ทำให้จะมีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นซึ่งเป็นคนที่ได้ยืนยันตัวตนและตรวจสอบข้อมูลในระบบบล็อกเชนแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถใช้งานระบบได้ สำหรับองค์กรที่ต้องการรักษาความปลอดภัยข้อมูลในระดับสูง อาจจะเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างบริษัทในเครือด้วยกันเอง หรือระหว่างสำนักงานใหญ่กับสาขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลในระบบ Blockchain ประเภทนี้ได้ จึงเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับ Public Blockchain อย่างสิ้นเชิง Blockchain ประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการเปิดเผยข้อมูลที่องค์กรต้องประสบใน Public Blockchain ได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่องค์กรต้องลงทุนในการสร้างระบบ Infrastructure เพื่อรองรับการใช้งานภายในองค์กรเอง ซึ่งก็มีความท้าทายในการดูแลรักษา และจำนวนเงินไม่น้อยที่องค์กรจะต้องลงทุนอีกเช่นกันค่ะ

ข้อดีอีกข้อของ Private Blockchain คือการที่เราสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ภายใน Blockchain Network ของเราให้ทำงานได้ตามที่เราต้องการนั่นเอง เราไม่จำเป็นต้องออกแบบระบบให้เป็นไปตามกฎของโลกเหมือน Public Blockchain เช่น ถ้าออกแบบระบบโดยอ้างอิงอยู่บน Public Blockchain — Bitcoin เวลามีการส่งเงินนั้นเราก็ต้องออกแบบระบบให้มีการรอ Confirm ธุรกรรม 10–15 นาทีตามกฎของ Bitcoin แต่ในทางกลับกันหากองค์กรใช้ระบบประเภท Private Blockchain เราจะสามารถออกแบบให้การ Confirm ธุรกรรมแล้วเสร็จภายใน 1–2 วินาทีก็เป็นไปได้ หรือสามารถสร้างเงื่อนไขของสัญญาอัจฉริยะ (Smart contract) เพื่อการกำหนดกฎการทำธุรกรรมของกลุ่มกันเองและดำเนินการด้วยความเป็นอิสระ ในรูปแบบธุรกรรมอัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูไปสู่การเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ อีกมากมาย

Part 5 : Consortium Blockchain

Blockchain ประเภทคือการรวมเอา 2 แนวคิดแรกเข้าด้วยกัน เป็นการผสมผสานระหว่างข้อดีของ Public Blockchain และ Private Blockchain เข้าด้วยกัน ซึ่งแนวคิด Consortium Blockchain นี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงสำหรับการนำมาประยุกต์ใช้กับองค์กรด้านการเงินในปัจจุบัน เนื่องจากองค์กรเหล่านี้มีการทำธุรกิจที่เหมือนกัน โดยปกติจะต้องเชื่อมโยงเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันอยู่แล้ว จึงสร้างเป็นเครือข่ายความร่วมมือและพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อใช้งานร่วมกัน เช่น Consortium Blockchain สำหรับธนาคาร ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลการโอนเงินระหว่างกันภายในสมาคมธนาคารด้วยกันเอง และธนาคารที่จะเข้ามาร่วมในเครือข่ายได้จะต้องได้รับอนุญาตจากตัวแทนของสมาคมเสียก่อนจึงจะมีสิทธิ์ใช้งานระบบร่วมกับธนาคารอื่นๆ ได้

ข้อดีของ Blockchain ประเภทนี้คือธนาคารไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลสำคัญขององค์กรและลูกค้าจะรั่วไหลกลายเป็นข้อมูล Public และในเรื่องการลงทุนระบบ Infrastructure ก็ลดลงไม่เหมือนการสร้าง Private Blockchain ขึ้นมาใช้เฉพาะภายในองค์กรของตนเอง ซึ่งจะไม่ต่างอะไรกับการลงทุนทำระบบใหญ่ๆ ที่ต้องใช้งบประมาณสูงและเสียเวลามาก แต่ก็จำเป็นต้องแลกด้วยความไม่คล่องตัวในการปรับเปลี่ยนแก้ไขเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ เพราะอาจจะต้องรอให้ผ่านมติความเห็นชอบจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสมาคมเสียก่อน

รูปภาพอธิบายถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain กับระบบ Supply Chain

อีกหนึ่งบทบาทของ Blockchain คือการขับเคลื่อนด้วยคนส่วนใหญ่ (Consensus-Driven) เพราะทุกข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกเชนจะต้องได้รับการยืนยัน เกิดเป็นการบันทึก มีการประทับตราเวลาไว้ ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ทำลาย หรือสร้างความเสียหายให้แก่ข้อมูลได้

รูปแบบนี้ทำให้ Blockchain เกิดข้อได้เปรียบสำคัญคือ เรื่องของความโปร่งใส ความปลอดภัย และความรวดเร็ว ทำให้หลายธุรกิจเลือกใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล กับการใช้บล็อกเชนเพื่อจัดการ บันทึกข้อมูลประวัติการรักษาของคนไข้ที่มีจำนวนมาก ในธุรกิจธนาคารใช้บล็อกเชนเพื่อยืนยันตัวตนแบบออนไลน์กับลูกค้าเวลาทำธุรกรรม จนถึงการใช้บล็อกเชนเพื่อวัดค่ามิเตอร์ไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนในการผลิตพลังงานได้

จากที่เล่ามาทั้งหมดจะเห็นว่า Blockchain ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ นะครับ Blockchain สามารถประยุกต์ไปใช้งานได้ในหลายรูปแบบด้วย อีกตัวอย่างเช่น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง โตโยต้า ญี่ปุ่น ได้มีการทดลองใช้เทคโนโลยี Blockchain กับการบริหาร Supply Chain ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจสอบสถานะของชิ้นส่วนรถยนต์ตั้งแต่ตอนผลิต ออกจากโรงงานแล้วขนส่งข้ามประเทศ จนถึงมือของผู้บริโภค และช่วยในการเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างรถยนต์กับอุปกรณ์พกพาของผู้ขับขี่ และเซ็นเซอร์ตรวจจับของระบบโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมในเมืองหรือตามท้องถนน ทำให้การขับขี่หรือตรวจสอบเส้นทางทำได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

ทั้งนี้ทั้งนั้น มีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับภาคธุรกิจในประเทศไทยอย่างจริงจังแล้ว แต่กระนั้นความสำเร็จของ Blockchain จะสามารถพลิกสถานะการให้บริการด้านการเงินโลกดิจิทัลได้หรือไม่ การหาพาร์ตเนอร์ที่มีประสบการณ์ในการทำงานกับระบบความซับซ้อน และความหลากหลาย ในทุกระดับการใช้งานไม่ว่าเล็ก หรือใหญ่ เป็นหัวใจสำคัญของการจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างดีที่สุด ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาไอเดียทางธุรกิจเหล่านี้ ต่างเคยถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง หากแต่ปัจจุบันเรื่องเช่นนี้ได้กลายเป็นตัวกำหนดผู้ชนะในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการมองว่าซอฟต์แวร์คือตัวแปรสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่นั่นเอง

--

--

Prapawee Kamsaeng
Prapawee Kamsaeng

Written by Prapawee Kamsaeng

software engineer Mae Fah Luang University 🌧🤍

No responses yet